‘ประยุทธ์’ สั่งรับมือ ฝนตกหนัก 21-25 ก.ค. ป้องกันน้ำท่วม

‘ประยุทธ์’ สั่งรับมือ ฝนตกหนัก 21-25 ก.ค. ป้องกันน้ำท่วม

โฆษกสำนักนายกเผย ประยุทธ์ สั่งรับมือ ฝนตกหนัก 21-25 ก.ค. ป้องกันน้ำท่วม ย้ำขอให้หน่วยงานติดตามสภาพอากาศใกล้ชิด นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามประกาศกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ฉบับที่ 21/2565 เรื่อง “เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก และน้ำท่วมฉับพลัน” การประเมินสถานการณ์น้ำจากฝนคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)

พบว่าจะมีปริมาณฝนตกสะสมต่อเนื่อง 

ประกอบกับสถานการณ์น้ำในลำน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติบางพื้นที่ที่ฝนตกหนักอยู่ในเกณฑ์น้ำมาก อาจส่งผลให้เกิดน้ำหลาก และน้ำท่วมฉับพลัน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วยใยพี่น้องประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบ ได้กำชับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก และน้ำท่วมขังในช่วงวันที่ 21-25 กรกฎาคม 2565

นายธนกร กล่าวว่า นายรัฐมนตรีย้ำว่าขอให้เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันบริเวณสายหลักต่างๆ พร้อมกับเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาตรน้ำสูง กว่าเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำกักเก็บสูงสุดและอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีปริมาตรน้ำมากกว่าร้อยละ 80 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เสี่ยงน้ำล้นกระทบพื้นที่บริเวณท้ายอ่างเก็บน้ำพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ น่าน และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดเลย บึงกาฬ ขอนแก่น นครราชสีมา และบุรีรัมย์ ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว และตราด

นายธนกร กล่าวว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสม และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำให้ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงและความสามารถในการใช้งานของอ่างเก็บน้ำ อาคารบังคับน้ำ

รวมทั้งให้ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำ ต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญให้กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมเร่งระบายน้ำในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังอยู่เดิม เพื่อเตรียมพร้อมรับน้ำหลากและป้องกันน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นอีก ขอให้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

‘มงคลกิตติ์’ ขอบิณฑบาตไล่ ‘ประยุทธ์’ ออกตำแหน่ง กลาง อภิปรายไม่ไว้วางใจ

มงคลกิตติ์ บิณฑบาตไล่ ประยุทธ์ ออกจากตำแหน่งระหว่างศึกซักฟอก อภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้อยู่ไปไม่เกิดประโยชน์ ทำประชาชนติดหนี้

นาย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้กล่าวในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ถึงหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หรือ เหตุเครื่องบินเมียนมาบินเข้าอาณาเขตไทย

นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นต้นเหตุให้ไทยมีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ทำหนี้ตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ทำสถานะทางการเงินประเทศ ติดลบ 1,638 ล้านล้านบาท มีการตั้งงบประมาณขาดดุล กู้หนี้ชนเพดาน และยังรีดภาษีน้ำมันจากประชาชน

พร้อมอ้างอิงราคาน้ำมันจากสิงคโปร์ อีกทั้งยังปรับค่า FT ไฟฟ้าขึ้นอีก 5 บาท ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันมีแค่นายกฯ และนายพลบางกลุ่มเท่านั้นที่ไม่เดือดร้อน เพราะมีสวัสดิการ รถฟรี น้ำมันฟรี ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าบ้านที่ฟรี ซึ่งถือเป็นความเหลื่อมล้ำ

ในส่วนประเด็นเครื่องบินรบเมียนมานั้น นายมงคลกิตติ์ ได้เปิดคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว บินรุกล้ำอธิปไตยไทย จนทำให้ประชาชนตามแนวชายแดนได้รับความเดือดร้อน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเกรงใจและบอกเพียงว่าแค่ตีวงเลี้ยวกว้างไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจล้ำ

นาย มงคลกิตติ์ เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า “วันนี้ไม่ได้มาคนเดียว ผมมาพร้อมกับพระพุทธรูปปางบิณฑบาต ในฐานะที่ผมเป็นผู้แทนที่ประชาชนเลือกมา ขอพูดแทนคนไทยกว่า 66 ล้านคน ขอบิณฑบาต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ปลดปล่อยประเทศไทย ประชาชนไทย ให้ท่านลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านปลดปล่อยไปเสียทีเถอะ เพราะ 8 ปี 2 เดือนแล้ว อยู่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ผมขอบิณฑบาตครับ”

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แนะนำให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และกลุ่มเสี่ยง 608 ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 โดยจะฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้ ทั้ง แอสตร้าเซเนก้า ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา เนื่องจากมีรายงานว่า ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง ร้อยละ 73 ร้อยละ 71 และร้อยละ 71 ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า

เมื่อเทียบกับผู้ได้รับวัคซีนเพียง 3 เข็ม ซึ่งวัคซีนทั้งสองชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิด mRNA หรือ Virus Vector  ก็มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มจะช่วยป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง ร้อยละ 96 ในกลุ่มอายุ 18-59 ปี และ ร้อยละ 97 ในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้น ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่ม 608 จึงควรให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้ตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดมากที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนักและลดการเสียชีวิต

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า